ตั้งแต่ช่วงหลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาเราได้เห็นการเรียกร้องทางการเมืองโดยมีพุทธศาสนากันขนานใหญ่มากมาย เราได้เห็นนักต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนามากมายที่ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องพุทธศาสนา และ พระธรรมคำสอน ซึ้งหนึ่งในเหตุการณ์นั้นคือ เหตุการณ์การประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมินในจีนช่วงปี พ.ศ.2532 หรือ ปี 1989
เหตุการณ์จตุรัสเทียนอันเหมินนั้น เป็นที่จดจำของทั่วโลกดีอย่างน้อยก็เป็นที่จดจำของผู้คนในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ที่เผชิญหน้ากับการล่มสลายทางการเมืองของระบอบทรราชอัตตาธิปไตยเผด็จการคอมมิวนิสต์ซึ้งเคยมีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลกลืนกินไปครึ่งโลก และการเบ่งบานของระบอบประชาธิปไตย ซึ้งในจีนก็ไม่เว้น นำไปสู่การประท้วงเพื่อการปฏิรูปทางการเองให้เป็นประชาธิปไตย ซึ้งภาพที่เราเห็นต่อสายตาชาวโลกนั้นคือภาพของกลุ่มนักศึกษา และ ประชาชน คนชั้นล่าง ทั้งหลายในสังคมจีนที่เผชิญกับสภาวะเศรฐกิจตกต่ำและปัญหาว่างงาน ซึ้งได้ร่วมออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา แต่ยังมีอีกเสียงหนึ่งซึ้งไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่สายตาชาวโลก เสียงนั้นเงียบงันแต่เป็นหนึ่งในพลังสำคัญแห่งการต่อสู้เคียงข้างประชาชนชาวจีนในขณะนั้นและมีพลังอยู่ในจิตใจของชาวจีน ไม่มากก็น้อย เสียงนั้นคือเสียงของพระพุทธศาสนา นั้นเอง
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นต้นมา พระพุทธศาสนา นั้นค่อยๆหมดบทบาทในสังคมและจิตใจของผู้คน พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้โจมตีพุทธศาสนาอย่างบ้าคลั่ง กล่าวคำอันเป็นการดูหมิ่นพระธรรมคำสอน พระสงฆ์ และ พระพุทธเจ้า อย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม วัดวาอารามถูกเผาทำลาย พระสงฆ์ นางชี ถูกจับสึกเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการลดประชากรและพลังอำนาจในการมีปากเสียงของพุทธศาสนาลง และได้สนับสนุนหลักการของลัทธิมาร์กเป็นหลักยึดของประชาชนแทนที่พุทธศาสนาซึ้งถูกมองว่าเป็นสิ่งล้าหลัง ทำให้ประชากรจีนส่วนมากกลายเป็นคนไร้ศาสนา เพราะได้รับการปลูกฝังจากภาครัฐบาลคอมมิวนิสต์มาตลอดว่า ศาสนา คือ ยาฝิ่น นั้นเอง แม้หลังการตายของเหมา และ การจับกุมแก็งสี่คนแล้วนั้น พระพุทธศาสนา ก็ยังได้รับการดูถูกดูหมิ่นอยู่เรื้อยๆจากสมาชิกและเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ และไม่ได้รับการเหลียวแลจากทางภาครัฐ ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมถอยลงไปอีก
ถึงกระนั้น พระพุทธศาสนา ก็ค่อยๆได้รับการฟื้นฟูจากพระภิกษุสงฆ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในประเทศ และ คฤหัสต์ผู้ยังยึดมั่นอยู่ในพุทธศาสนาซึ้งเป็นกลุ่มบุคคลที่แก่ชรามากแล้วได้ค่อยๆฟื้นฟูพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ มีการซ่อมแซมวัดวารอารามบางส่วนที่ยังคงหลงเหลือหลังจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรม และเริ้มมีการชักชวน เทศนา สั่งสอนให้ชาวจีนรุ่นใหม่กลับมานับถือพุทธศาสนาอีกครั้ง ทำให้พุทธศาสนาค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาอย่างช้าๆไปทีละน้อย ทีละน้อย
จนกระทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญได้มาถึงนั้นคือเหตุการณ์ประท้วงที่จตุรัสเทียอันเหมินในปี พ.ศ. 2532 หรือปี 1989 พุทธศาสนาก็ได้แสดงตัวออกมาและเป็นหนึ่งในพลังทางการเมืองที่สำคัญเป็นครั้งแรกหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ เราได้เห็นการเข้าร่วมของพระสงฆ์และสมาคมพุทธจีน ซึ้งได้แสดงออกว่าต้องกรเสรีภาพ ชาวพุทธตะโกนคำขวัญว่า "พุทธศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตย" และ"เสรีภาพแห่งจิตวิญญาณทางความเชื่อ" ไปพร้อมๆกับเหล่านักศึกษาและคนชั้นล่าง การเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ของพุทธศาสนา พระสงฆ์ และ ชาวพุทธจีน นั้นได้ทำให้พุทธศาสนากลับมาโดดเด่นอีกครั้งในเสียงหนึ่งที่ป่าวร้องภายในขบวนการทางการเมืองประชาธิปไตยของชาวจีน และด้วยบทบาทด้านนี้เองทำให้ผู้คนและประชาชนคนรุ่นใหม่และนักศึกษาของจีนยุคนั้นหันกลับมาศรัทธาในพุทธศาสนาอีกครั้งในฐานะศาสนาที่สนับสนุนหลักการประชาธิปไตย
"พุทธศาสนา"กำลังกลายเป็นพลังการต่อสู้ในโลกยุคใหม่ ที่เสียงของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานกำลังขจรขจายไปทั่วโลก ซึ้งพระพุทธศาสนาก็สนับสนุนซึ้งความเสมอภาคและสิทธิเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นศาสดาของศาสนาพุทธนามว่า"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"ทรงไม่เลือกบวชให้ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งและทรงไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะทรงแสดงถึงความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์นั้นแล.